Recommended Readings
Permanent URI for this community
Browse
Browsing Recommended Readings by Title
Results Per Page
Sort Options
-
Itemแนะนำหนังสือ : “ สงครามโลก 1,2 (ฉบับสมบูรณ์) World War I,II ประวัติศาสตร์การเข่นฆ่าที่โลกต้องเรียนรู้ [D 521 .ว65 2555]( 2022-01-27) ระชัย โชคมุกดาวันที่ 27 มกราคม เป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าในยุคสมัยใด การทำสงคราม ย่อมมีผู้บาดเจ็บล้มตาย การสูญเสีย ความโหดร้ายของสงครามนำมาสู่การเข่นฆ่าอย่างไร้ความปราณี ในสมัยสงครามโลกครั้ง 2 มีรอยบาดแผลสำคัญที่จารไว้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คือ เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวโดยนาซี ซึ่งรวมไปถึงการฆ่าผู้คนในค่ายกักกันในกรณีต่างๆ อย่างไร้มนุษยธรรม การล้างชาติพันธุ์โดยนาซีได้สังหารชาวยิว ในทวีปยุโรปเป็นจำนวนอย่างน้อย 6 ล้านคน รวมไปถึงเชื้อชาติอื่นๆ อีกที่ถูกพวกนาซีลงความเห็นว่าเป็นพวกที่ “ไม่คู่ควร” “หรือต่ำกว่ามนุษย์” (รวมไปถึงผู้ที่ทุพพลภาพ ผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต เชลยสงครามโซเวียต พวกรักร่วมเพศ สมาคมฟรีเมสัน ผู้นับถือลัทธิพยานพระเยโฮวาห์และชาวยิปซี) โดยเป็นส่วนหนึ่งของการถอนรากถอนโคนอย่างจงใจ และได้รีบการดดำเนินการโดยรัฐบาลฟาสซิสต์นาซี นำโดย อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ นอกจากนี้ในที่อื่นๆ ก็มีค่ายกักกันของเชลยชาวโซเวียต เชลยสงครามชาวเยอรมัน เชลยสงครามชาวจีนของทหารญี่ปุ่น สงครามเป็นเครื่องเตือนใจว่ามนุษย์ควรมีทางเลือกที่จะปฏิบัติต่อมนุษย์ผู้เป็นคู่ขัดแย้งด้วยการเคารพในความเป็นมนุษย์ของเขาผู้นั้น เช่นเดียวกับหรือเท่ากับการเคารพตนเองได้
-
Itemแนะนำหนังสือ : 6 ตุลา ลืมไม่ลง จำไม่ลง[DS575.35 ธ22 2558]( 2022-10-06) ธงชัย วินิจจกูลเลขเรียกหนังสือ DS575.35 ธ22 2558 ความทรงจำ/ความเงียบงันของประวัติศาสตร์บาดแผล เป็นบทเรียนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ชี้ชัดว่า ใครเป็นใครและอะไรเป็นอะไรในสังคมการเมืองไทย หรือวัฒนธรรมที่ไม่เอาโทษกับอาชญากรรม ปล่อยคนทำผิดลอยนวลยังอยู่ในสังคมไทยเป็นปกติเหมือนที่เคยเป็นมา ท่านสามารถอ่านหรือยืมหนังสือดังกล่าวได้ที่ห้องคลังความรู้ ชั้น 2 อาคารสำนักงาน มิวเซียมสยามครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : Lords of Things : The Fashioning of the Siamese Monarchy's Modern Image [JQ1746 P4 2002]( 2021-10-21) Maurizio Peleggi23 ตุลาคม วันปิยมหาราช ครบรอบ 111 ปี วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ห้องคลังความรู้ขอแนะนำหนังสือเรื่อง “Lords of Things : The Fashioning of the Siamese Monarchy's Modern Image” “Lords of Things” นำเสนอการตีความเกี่ยวกับการพัฒนาสู่ความทันสมัยของสยามประเทศของรัชกาลที่ 5 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ผ่านหลักฐาน แหล่งเนื้อหา และบริบทใหม่ๆ มาอภิปรายในเชิงทฤษฎี โดยมุ่งเน้นไปที่การครอบครองวัตถุที่ล้ำยุค แนวทางการปฏิบัติทางสังคมโดยกลุ่มชนชั้นสูง และการสร้างภาพลักษณ์ในระยะแรกของยุคโลกาภิวัตน์ โดยพิจารณาจากกระแสบริโภคนิยมตามแบบชาติตะวันตก สถาปัตยกรรม และการนำเสนอตนเองต่อสาธารณชนโดยข้าราชสำนัก เพื่อการสร้างอัตลักษณ์ในฐานะอารยชน หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักประวัติศาสตร์ไทยและนักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมในมิติของสถาบันและกระบวนการทางเศรษฐกิจ หรือการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระแสวัฒนธรรมข้ามชาติ การล่าอาณานิคม ประเพณีนิยม และความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริโภค และ การสร้างตัวตนในยุคสมัยใหม่ หากผู้อ่านท่านใดสนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถสมัครสมาชิกยืมคืนหนังสือจากห้องคลังความรู้ หรือมาใช้บริการอ่านได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยามนะครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : Museum at play:Games,Interaction and Learning [AM 7 M 8832 2011]( 2022-10-27) Katy Bealeเลขเรียกหนังสือ AM 7 M 8832 2011 เรื่องเล่าของการใช้และการประเมินเกมที่มใช้ในกิจการของพิพิธภัณฑ์ ประสบการณ์การใช้และการออกแบบเกม
-
Itemแนะนำหนังสือ : Telling Our Story :The Arab American National Museum [E 184 A65 T45 2007]( 2022-10-27) Arab American National Museum (Dearborn, Mich.)เลขเรียกหนังสือ E 184 A65 T45 2007 เรื่องเล่าตำนานแห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของชาวอาหรับอเมริกัน การมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกา การพำนักอาศัยและการดำรงอยู่ของวัฒนธรรม
-
Itemแนะนำหนังสือ : The Art of Statistics : Learning from Data [HA29.5 ช36 2564]( 2022-10-20) David Spiegelhalter ; แปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ทุกวันที่ 20 ตุลาคม ถูกกำหนดให้เป็น “วันสถิติโลก” หรือ World Statistics Day ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงคุณค่าและบทบาทสำคัญของสถิติในการวางแผนพัฒนาระบบเศรษฐกิจสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ The Art of Statistics : Learning from Data เท่าทันข้อมูลทลายกำแพงตัวเลขด้วยศาสตร์และศิลป์แห่งสถิติ เขียนโดย David Spiegelhalter แปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ ทุกวันนี้ชีวิตเรารายล้อมไปด้วย “สถิติ” เราอ่านข่าวตัวเลขคนว่างงาน ฟังพยากรณ์อากาศ เปิดเฟซบุ๊คที่แสดงผลตามอัลกอริทึม สถิติช่วยให้เราเข้าใจ “โลก” ผ่าน “ข้อมูล” หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราไปรู้จักศาสตร์และศิลป์แห่งสถิติที่มิใช่เพียงสูตรและตัวเลข ให้เราสามารถปรับใช้ พลิกแพลง เพื่อแก้ปัญหาในโลกความจริง ปูพื้นฐานแนวคิดสำคัญทางสถิติ ผ่านตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ใครคือผู้โชคดีที่สุดบนเรือไททานิค กล้องจับความเร็วช่วยลดอุบัติเหตุจริงหรือ เราจะจับฆาตกรต่อเนื่องด้วยสถิติตได้อย่างไร พร้อมตั้งคำถาม ชั่งนำหนักข้อมูล และค้นหาหนทางสู่สถิติที่ “น่าเชื่อถือ” อย่างแท้จริง ติดตามอ่านต่อได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม ชั้น 2 กันครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : The Illustrated Story of Art [ND 50.C 5381 2013]( 2022-10-27) Dorling Kindersley Limitedเลขเรียกหนังสือ ND 50.C 5381 2013 หนังสือที่รวมผลงานภาพวาดงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวลงในภาพวาด เรื่องราวที่เรียกว่า Great Movements ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ เรอเนสซองส์ บาโรค นีโอคลาสิค ศตวรรษที่ 19 จนถึงยุค Modern Age ติดตามอ่านต่อได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม ชั้น 2 กันครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : การเมืองในราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ 5 [DS 568.3 ฉ63 2561]( 2024-02-15)หากย้อนกลับไปในอดีต เรื่องราวของความรักจะไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนสองคน แต่มีเรื่องราวของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมมาเกี่ยวข้อง และยิ่งเป็นความรักที่เกิดขึ้นในราชสำนักด้วยแล้ว เรื่องราวเหล่านี้ย่อมมีผลต่อการเลือกคู่ครองอีกด้วย วันนี้ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม ขอแนะนำหนังสือ การเมืองในราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ 5 (เลขเรียกหนังสือ DS 568.3 ฉ63 2561) โดยฉัตรดาว ลีเชวงวงศ์ เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวความรัก อำนาจ การเมือง และการเป็นใหญ่ของราชสำนักฝ่ายในในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่สำคัญของทั้งในแง่ของตัวพระองค์เองเนื่องจากทรงครองราชย์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนไปถึงเรื่องราววิกฤติการต่างๆที่เกิดขึ้นกับสยาม มีผลทำให้การเลือกพระภรรยาเจ้า พระภรรยา และเจ้าจอมต่างๆ ส่งผลต่อฐานะในราชบัลลังก์ของพระองค์เอง ดังเช่นรักแรกของพระองค์ ซึ่งก็คือเจ้าจอมมารดาแพ หรือเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ซึ่งเป็นภรรยาพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 โดนรัชกาลที่ 4 ได้ตรัสขอคุณแพจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้เป็นปู่ และเมื่อคุณแพได้เป็นเจ้าจอม ก็ได้เข้ามาทำหน้าที่ในการเป็นผู้ติดต่อ สื่อสารระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 5 และขุนนางตระกูลบุนนาค นอกจากนี้ตัวหนังสือยังได้บอกเล่าให้เห็นภาพการตั้งพระภรรยาเจ้า ทั้งในชั้นหลานของรัชกาลที่ 3 และน้องสาวต่างมารดาขององค์รัชกาลที่ 5 เพื่อให้เกิดเป็นสายตระกูลต่างๆ รวมไปถึงสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์บัลลังก์
-
Itemแนะนำหนังสือ : แกะรอยพระคเณศ [BL1255. พ66 อ44 2552]( 2023-09-17) อรุณศักดิ์ กิ่งมณีในช่วงของเทศกาลคเณศจตุรถี ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวันที่พระพิฆเณศจะลงมายังโลกมนุษย์เพื่อประทานพรแก่ผู้ที่ศรัทธทา และเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์เป็นพิเศษ โดยบางตำราบอกว่าเป็นวันเกิดขององค์พระพิฆเณศ บางตำราเชื่อว่าเป็นการบูชาเพื่อขอฝน แต่วันนี้ห้องคลังความรู้มิวเซียมสยาม จะขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักองค์พระพิฆเณศผ่านหนังสือ “แกะรอยพระคเณศ” สำหรับหนังสือแกะรอยพระคเณศ แต่งโดยคุณอรุณศักดิ์ กิ่งมณี (เลขเรียกหนังสือ BL1255. พ66 อ44 2552) ได้พูดถึงเรื่องราวขององค์พระพิฆเณศในหลากหลายแง่มุม เช่น พระคเณศ มาจากไหน? ที่หนังสือได้ระบุว่า “ความเก่าแก่ของคติความเชื่อเรื่องพระคเณศ น่าจะเกิดขึ้นมานานนับพันปี โดยนักวิชาการบางท่านเสนอว่าน่าจะเริ่มต้นขึ้นมานานกว่า 3,000 ปี โดยอ้างอิงจากคำว่า คณปติ ซึ่งปรากฎอยู่ในมนต์บทที่ 2 ของคัมภีร์ฤคเวท” หรือการพูดถึงพระคเณศในมุมของโบราณคดี เช่น “ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรม พบว่าได้เริ่มสร้างรูปพระคเณศในอินเดียอย่างน้อยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 8-11 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเก่าแก่เท่าที่เคยพบมา อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีพบว่าก่อนหน้าสมัยคุปตะ ได้มีการสร้างรูปบุคคลที่มีเศียรเป็นช้างขึ้นก่อนแล้ว ทว่ากลับไม่ได้หมายถึงพระคเณศ แต่หมายถึงคชานนนะ - ยักษมูรติ ซึ่งเป็นรูปของยักษ์ที่มีหน้าเป็นช้างเช่นกัน” สำหรับพระคเณศกับประเทศไทยนั้น เรียกได้ว่าจากหลักฐานทางโบราณคดี พื้นที่ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันนั้นได้มีการขุดค้นพบเทวรูปและรูปเคารพขององค์พระพิฆเณศในหลายพื้นที่ บางองค์มีอายุราว 1 พันปี และมีเรื่องราวของพระองค์อยู่ในเทวนิยายไทยคือ “คัมภีร์นารายณ์สิบปาง” ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับช้างเป็นพิเศษ ในแง่ที่ถือกันว่าพระองค์ทรงเป็น “เทพผู้ให้กำเนิดช้าง” และกลายเป็น “เทพแห่งศิลปวิทยา” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 อีกด้วย สำหรับท่านใดที่มีความเคารพศรัธาในองค์พระพิฆเณศ เชื่อว่าหนังสือแกะรอยพระคเณศ แต่งโดย คุณอรุณศักดิ์ กิ่งมณี (เลขเรียกหนังสือ BL1255. พ66 อ44 2552) จะทำให้ทุกท่านได้รู้จักองค์พระพิฆเณศผ่านมุมมองเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งทำให้เห็นว่าพื้นที่ของประเทศไทยเราก็มความผูกพันธ์กับเทพแห่งอินเดียมาอย่างยาวนานแล้วนั่นเอง ท่านที่สนใจสามารถมาอ่านหนังสือ หรือสมัครสมาชิกเพื่อยืม คืน หนังสือได้ที่ห้องคลังความรู้มิวเซียมสยาม เปิดทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 น. – 18.00 น. แล้วมาค้นคว้าเรื่องราวต่างๆที่ห้องคลังความรู้กันเยอะๆนะครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : ชีวิตทางสังคมในการเคลื่อนย้าย Social Life on the Move [HD 5856.A785 2561]( 2023-01-05) วาสนา ละอองปลิวเปิดศักราชใหม่ หลายๆ คนอาจคิดเรื่องการขยับขยาย เปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องส่วนตน การงานอาชีพ หรือการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ โลกเรานี้เต็มไปด้วยการเคลื่อนย้าย (Mobility) และนัยสำคัญที่การเคลื่อนย้ายมีผลต่อวิธีคิดเรื่อง”ชีวิต” (Life) ในสังคมสมัยใหม่ (Modern Society) ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเคลื่อนย้าย การติดต่อระหว่างกัน สังคมสมัยใหม่เข้าใจการเรื่องการเคลื่อนย้ายว่าสื่อถึงความหมายเชิงบวกและสร้างความเปลี่ยนแปลง ชีวิตทางสังคมในการเคลื่อนย้าย Social Life on the Move เลขเรียกหนังสือ HD 5856.A785 2561 หนังสือเล่มนี้อธิบายภาพรวมของการเคลื่อนย้ายศึกษา (Mobility Studies) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนย้ายและไม่สามารถเคลื่อนย้าย (Mobility and immobility) และการดำรงอยู่ที่เกิดขึ้นจากการเกาะเกี่ยวปฏิสัมพันธ์ (Relationality) ระหว่างตัวแสดงต่างๆในการเคลื่อนย้าย ทั้งที่เป็นคนและสิ่งที่ไม่ใช่คน กล่าวถึงการเคลื่อนย้ายของแรงงานที่ใช้ทักษะสูงและแรงงานใช้ทักษะต่ำ การเป็นแรงงานทาสบนเรือประมง การเคลื่อนที่ในพื้นที่เมืองและการเคลื่อนย้ายของเทคโนโลยี
-
Itemแนะนำหนังสือ : ชื่อบ้านนามเมือง ในกรุงเทพฯ [DS589.ก4 .ศ52 2551]( 2024-01-30) ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัยการพัฒนาเมืองที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา คือการตัดถนนหนทางต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการคมนาคมจากทางน้ำ มาสู่ทางบก ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการอยู่อาศัยจากเรือนแพ สู่การอาศัยตามตึกแถว ซึ่งถนนหลายสายในเขตเมืองเก่า หรือบริเวณที่เรียกว่าเกาะรัตนโกสินทร์นั้น ล้วนถูกตัดขึ้นตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 4 ซึ่งชื่อถนนทั้งหลายเหล่านั้นยังมีปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน สำหรับหนังสือ ชื่อบ้านนามเมือง ในกรุงเทพฯ (เลขเรียกหนังสือ DS589.ก4 .ศ52 2551) โดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย เป็นหนังสือที่รวบรวมประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ ครอบคลุมทั้งถนนหนทาง สะพาน ท่า วัดฯลฯ ที่สำคัญทั่วกรุงเทพมหานครจำนวนกว่าร้อยแห่งและเรียบเรียงไว้อย่างย่อและง่ายต่อการศึกษา เสมือนได้ช่วยจดจารความเป็นมาของชื่อบ้านนามเมือง ไว้เป็นหลักฐานอีกทางหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น สี่แยกแม้นศรี “แม้นศรี เป็นชื่อสี่แยกบริเวณถนนบำรุงเมืองตัดถนนจักรพรรดิพงษ์ตอนต่อกับถนนวรจักร ชื่อสี่แยกแม้นศรี มาจากชื่อหม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา หม่อมห้ามของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อหม่อมแม้นได้ถึงอนิจกรรม กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงนำเงินที่ได้รับจากการที่มีผู้มอบให้ช่วยงานศพ มาทำการสร้างสะพานข้ามคลองเล็กๆ ซึ่งขบวนแห่ศพจะต้องผ่าน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์และทรงอุทิศส่วนพระกุศลประทานแก่หม่อมแม้น โดยตั้งชื่อเป็นอนุสรณ์แก่หม่อมแม้นว่า สะพานแม้นศรี ต่อมาบริเวณนั้นมีการตัดถนนผ่านจนเป็นสี่แยก จึงเรียกแยกนั้นว่า สี่แยกแม้นศรี” ปัจจุบันบริเวณแยกแม้นศรี มีจุดเด่นคือ อาคารของการประปานครหลวง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีความสวยงาม และเป็นอาคารอนุรักษ์ เป็นที่ตั้งของการประปานครหลวงแห่งแรก เป็นจุดกำเนิดของการประปาในประเทศไทย โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2457 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเรียกกันติดปากว่า "ประปาแม้นศรี" ท่านที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่สำคัญของพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ ชื่อบ้านนามเมือง ในกรุงเทพฯ (เลขเรียกหนังสือ DS589.ก4 .ศ52 2551) ได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม อาคารสำนักงานชั้น 2 ทุกวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. เรายังมีหนังสืออีกมากไว้รอบริการผู้ใช้ทุกท่านอยู่นะครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : ซะป๊ะกิ๋นได้ ที่กำลังสูญหาย [TX724.5.ท9 ช43 2558 ]( 2023-01-23) ชลธิชา กาวิโยค.คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานที่เมืองกรุงและนานๆ ได้กลับบ้านตัวเองซักที สิ่งที่คิดถึงที่สุดจะเป็นครอบครัวบรรยากาศและอีกอย่างที่คิดถึง คือ อาหารพื้นบ้านที่ไม่สามารถหากินได้ที่เมืองกรุง และเดี๋ยวนี้นั้นอาหารพื้นบ้านก็เริ่มหายากขึ้นทุกที แม้กระทั่งอาหารง่าย ๆ ที่มีตามท้องทุ่งนาอย่างปูนาก็ยังไม่ค่อยมีให้กิน อาหาร จึงเป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ในการพบกันของผู้คนที่ร้างจากบ้าน แล้วเดินทางกลับภูมิลำเนามาหากัน ซะป๊ะกิ๋นได้ที่กำลังสูญหาย Call no. TX724.5.ท9 ช43 2558 เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับของกินพื้นบ้านของทางภาคเหนือที่เป็นของหายาก บางอย่างมีเพียงบางฤดู “ซะป๊ะ” ในภาษาเหนือมีความหมายว่า หลายอย่าง เยอะแยะ ครบถ้วน ในเล่มยังแนะนำการทำอาหารด้วยวัตถุดิบพื้นบ้าน ซึ่งอาหารพื้นบ้านเหล่านั้น มีแบ่งเป็นหมวดๆ เช่น หมวดเห็ด หมวดแมง หมวดผัก ซะป๊ะเห็ด อย่างเช่น เห็ดถอบหรือเห็ดเผาะ ชาวบ้านเปรียบเหมือน “เม็ดทองคำอันล้ำค่าในป่าใหญ่” เห็ดถอบหรือเห็ดเผาะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Astraeus hygrometric) เห็ดถอบ หรือเห็ดเผาะเป็นเห็ดที่มีความแตกต่างจากเห็ดอื่นๆ คือ ไม่มีหมวกเห็ดหรือโคนเห็ด แต่เป็นลูกกลมๆ ฝังตัวอยู่ใต้ดิน เนื้อในสีขาวนวล สามารถทำเป็นอาหารได้หลายอย่าง แกงใส่ยอดส้มเม่า แกงใส่ดอก้าน หรือทำยำเห็ดถอบก็ได้ ซะป๊ะแมง อย่างเช่น แมงมันแม่ ฝนตกแดดออก ต้องออกไปเก็บแมงมัน เป็นคำที่ไม่ค่อยติดหูคนในเมืองซักเท่าไหร่ หลังจากฝนตกติดต่อกันหลายวัน แสงแดดเริ่มสาดส่องลงมาให้เห็น เป็นสัญญาณบอกว่าได้เวลาที่ต้องไปเก็บแมงมัน แต่ละบ้านจะรู้ว่าต้องไปเก็บที่ไหน เพราะจะเป็นที่ที่เคยออกทุกปี แมงมันมีรสชาติอร่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งมันตามชื่อ นิยมกินเฉพาะแมงมันสีแดงก่ำ(แมงมันแม่) ส่วนใหญ่นิยมนำไปคั่วกินเล่น หรือคั่วกินกับข้าวนึ่งก็ได้เช่นกัน
-
Itemแนะนำหนังสือ : ตุลา- ตุลา สังคม-รัฐไทยกับความรุนแรงทางการเมือง [DS575.35 ต74 2556]( 2023-10-06) ชาญวิทย์ เกษตรศิริ6 ตุลา อาชญากรรมทั้งของรัฐและโดยรัฐ ตลอดทั้งยังปลุกเร้าให้คนไทยบางกลุ่มบางเหล่าเข้าร่วมปฏิบัติการในหลากหลายระดับ เหตุการณ์ที่สะท้อนด้านมืดของสังคมไทยที่ชัดเจนที่สุด ความรุนแรงที่ส่งผ่านมาหลายทศวรรษ ถ้าเราปราศจากซึ่งความเข้าใจ “กลไก” ของความรุนแรงทางการเมืองนี้ ก็จะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสร้างระบบป้องกันความรุนแรงมิให้เกิดขึ้นอีก อ่านเรื่องราวได้จาก 4 เล่มนี้ เลขเรียกหนังสือ DS 575.35 ต74 2556 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 แม้จะเป็นสองเหตุการณ์ เป็นประวัติศาสตร์เฉพาะเรื่อง แต่มันคือเรื่องราวที่ต่อเนื่องทาง “ประวัติศาสตร์ช่วงยาว” ไม่เพียงแต่ในสถานะประวัติศาสตร์ไทย แต่ในสถานะในศตวรรษแห่งความรุนแรงของประวัติศาสตร์โลก
-
Itemแนะนำหนังสือ : นักเดินทางชาวสยาม [G463 .อ37 2562](สำนักพิมพ์แสงดาว, 2021-12-02) เอนก นาวิกมูลเข้าเดือนธันวาคม ใกล้สิ้นปีเข้ามาแล้ว เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่มีแผนการไปท่องเที่ยวให้รางวัลกับชีวิตตนเองกันอย่างไรบ้างครับ ห้องคลังความรู้ชวนมาอ่านเรื่องราวของการเดินทางของคนไทยสมัยก่อนกันครับ คนสมัยนั้นเขาไปท่องเที่ยวเดินทางกันอย่างไร จากหนังสือ “นักเดินทางชาวสยาม” ที่รวมเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของคนไทยยุคเก่า 11 เรื่อง "ด้วยว่าคนไทยสมัยก่อนนั้น ไม่ค่อยได้เดินทางไปไกลบ้านเหมือนฝรั่งซึ่งมีจิตวิญญาณเป็นนักสำรวจ อาจเป็นเพราะคนยุคโน้นต้องทำนา ทำไร่ และต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นไพร่หลวง เกณฑ์เป็นทหาร ซึ่งเป็นการผูกมัด การท่องเที่ยวเท่าที่พอจะทำได้ คือ การไปไหว้พระ ทำบุญตามเทศกาล หน้าแล้งกับหน้าน้ำ เช่น ไปไหว้พระพุทธบาท การไปทอดกฐินหรือการตามรอยสัตว์ของนายพราน ดังนั้น บันทึกการเดินทางเล่มนี้ เป็นบันทึกที่ผู้เขียนได้รวบรวมจากเอกสารหนังสือพิมพ์เก่าจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ที่มีบันทึกเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยยุคนั้น ทั้งที่ไปโดยตั้งใจหรือไปโดยบังเอิญก็แล้วแต่ ล้วนได้ประสบเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น เห็นวิถีชีวิตบ้านเมืองที่แตกต่างออกไปจากเรา ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตามอ่าน” เช่น เรื่องการเผชิญโชคของนายทองคำซึ่งสมัครเป็นกะลาสีเรือเพื่อหาโอกาสไปเห็นโลกภายนอกในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือเรื่องของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ตฤษณานนท์ ไปเมืองแขก-ญวน-จีน เพื่อหาซื้อข้าวของมาสำหรับงานพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (พระนางเรือล่ม) ซึ่งจัดที่สนามหลวง ในปี พ.ศ. 2424 เป็นต้น เช่นเคยครับ ท่านสามารถยืมหรือมานั่งอ่านได้ที่ห้องคลังความรู้ ชั้น 2 อาคารสำนักงาน มิวเซียมสยาม ขอให้ทุกท่านมีแพลนการท่องเที่ยวสำหรับสิ้นปีนี้กันอย่างสนุกสนานครับ ท่องเที่ยวปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 กันนะครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : ประวัติศาสตร์กินได้ [GT2850 ส35 2554]( 2023-01-29) โตมร ศุขปรีชา“ในศาสนาคริสต์ ความตะกละถือว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง แต่ชะตากรรมของมนุษยชาตินั้นแขวนอยู่บนเส้นด้ายของอาหารและความหิวโหย แท้จริงแล้วอาหารที่เป็นรากของอารยธรรมทั้งปวงนั้นล้วนนับเป็นบาปด้วยหรือไม่” . สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งกับนายกบแดง สำหรับวีดิโอนี้ นายกบแดงจะพาทุกคนไปรับชมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาหารผ่านประวัติศาสตร์โลกที่เกี่ยวพันกับสังคม การเมือง ศาสนา ปรัชญาหรือเศรษฐศาสตร์ . โดยวันนี้นายกบแดงจะมานำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “มันฝรั่ง” ซึ่งเป็นพืชผักอันโปรดปรานสำหรับใครหลายคน แต่หลายคนอาจจะไม่เคยทราบประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเจ้ามันฝรั่งว่าแท้จริงแล้วในอดีตเคยมีประวัติศาสตร์อันดำมืดมาก่อน
-
Itemแนะนำหนังสือ : ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระณารายณ์มหาราช) [DS578.6 ช8 2550]( 2024-02-22) นิโกลาส์ แชรแวส ; แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตรหากพูดถึงเมืองลพบุรี นอกจากจะมีสถานที่สำคัญอย่างพระณารายณ์ราชนิเวศน์ พระปรางค์สามยอด และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย โดยเฉพาะสมัยสมเด็จพระณารายณ์มหาราช ที่ชาติตะวันตกได้เข้ามาและทำการเผยแผ่ศาสนาและติดต่อค้าขาย ต่างก็ได้ทำการบันทึกเรื่องราวของตนไว้ วันนี้ห้องคลังความรู้เลยมีหนังสือที่พูดถึงเมืองลพบุรีเล่มหนึ่งมานำเสนอ จากหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระณารายณ์มหาราช) โดย นิโกลาส์ แชรแวส แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร (เลขเรียกหนังสือ DS578.6 ช8 2550) ซึ่งเป็นบันทึกของนิกลาส์ แชรแวส มิชชันนารีที่ได้เดินทางมาอาศัยในสยามยาวนานถึง 4 ปี ได้บันทึกเรื่องราวของเมืองละโว้ หรือที่ตามบันทึกเรียกว่าเมืองนพบุรี โดยมีการบรรยายถึงพระณารายณ์ราชนิเวศน์ว่า “พระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ที่ชายน้ำ แต่ไม่งดงามเท่ากรุงศรีอยุธยา หากมีลางสิ่งที่เจริญตากว่า มีกำแพงที่แข็งแรงพอใช้ ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำใหญ่สี่สระ บรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน” นอกจากนี้ นิโกลาส์ แชรแวส ยังได้มีการบันทึกถึงสัตว์ต่างๆในสยาม และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องของลิง “ตามชายน้ำมีลิงทั้งตัวใหญ่และตัวน้อยไต่อยู่ยั้วเยี้ย แลดูราวกับว่ามันจงใจมากระโดดโลดเต้น และห้อยโหนโจนทะยานให้เราชมเล่น” จากบันทึกของแชรแวส ไม่ได้ระบุสถานที่พบเจอลิงว่าเป็นที่ใด แต่ในปัจจุบันเราสามารถพบเจอลิงได้ทั่วตัวเมืองลพบุรี และยังคงเป็นปัญหาที่ยังต้องหาการแก้ไข เพื่อให้คนและลิงรวมไปถึงสัตว์อื่นๆอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข สำหรับหนังสือ เรื่องราวของธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม ยังมีเนื้อหาและเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก ท่านที่สนใจสามารถมาอ่านต่อได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม อาคารสำนักงานชั้น 2 ทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. หรือถ้าอยากนำกลับไปอ่านที่บ้าน ก็สามารถติดต่อบรรณารักษ์เพื่อสมัครสมาชิก และทำการยืมหนังสือได้เลยครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : ประวัติศาสตร์แปลกๆในสยาม [DS 572 .ก66 2565]( 2023-04-06) กิตติ โล่ห์เพชรัตน์หากพูดถึงอาหารไทย หลายคนต้องคิดถึงอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ หรือแกงต่างๆที่ใส่น้ำแกงเพื่อให้น้ำซุปมีรสชาติเข้มข้น แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว บรรพบุรุษของเราน่าจะเริ่มกินอาหารรสเผ็ดเมื่อครั้งปลายกรุงเศรีอยุธยานี่เอง จากหนังสือ ประวัติศาสตร์แปลกๆในสยาม โดย กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ ที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์แปลกๆของไทยไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนไทยกินของแปลก อาหารที่ผสมผสานกลมกลืน หรือ คนไทยกินอย่างไร คนกรุงศรีฯไม่ได้กินเผ็ดอย่างที่คิด ที่ได้ระบุไว้ว่า “ส่วนเรื่องความเผ็ด หรือ พริก ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอาหารไทยในปัจจุบัน แต่บรรดาพริกทั้งหลาย (ไม่รวมพริกไทย) มีต้นกำเนิดในทวีปอเมริกา โดยพริกมีการแพร่พันธ์ุไปทั่วโลกหลังจาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริกาเมื่อปร พ.ศ. 2035 จึงกล่าวได้ว่าก่อนสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 คนไทยไม่รู้จักพริก อาหารไทยจึงไม่น่ามีรสเผ็ด” สอดคล้องกับบันทึกของลา ลูแบร์ กล่าวไว้ว่า “อาหารชาววังคืออาหารชาวบ้าน แต่มีการนำเสนอที่สวยงาม ไม่มีก้าง ไม่มีกระดูก เนื้อต้องเปื่อยนุ่ม ไม่มีของแข็ง ผักก็ต้องพอดีคำ หากมีเมล็ดต้องนำออก ถ้าเป็นเนื้อสันก็เป็นสันใน กุ้งก็ต้องเป็นกุ้งแม่น้ำ ไม่มีหัว ไม่ใช้ของหมักดองหรือของอะไรที่คาว” จะเห็นได้ว่า เรื่องราวของการกิน ล้วนเกิดจากการรับ ปรับ ใช้ จากวัตถุดิบและผู้สร้างเมนูอาหารแทบทั้งสิ้น อาหารไทยในปัจจุบันก็ล้วนมีรากของความเป็นอดีตที่รสชาติไม่เคยหายไปไหน แต่รสชาติที่หายไปคงเป็นความกลมกล่อม หรืออาหารรสจืดก่อนที่พริกจะเข้ามาเพิ่มความจัดจ้านให้อาหารไทยก็เป็นได้ สำหรับหนังสือ ประวัติศาสตร์แปลกๆในสยาม โดย กิตติ โล่ห์เพชรัตน์
-
Itemแนะนำหนังสือ : พระบรมสารีริกธาตุ [BQ924 บ17 2546]( 2024-02-29) กรมศิลปากรในช่วงนี้เป็นช่วงที่ท้องสนามหลวงได้มีการเปิดให้สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ จากประเทศอินเดียมาให้ประชาชนได้สักการะ โดยพระบรมสารีริกธาตุนี้ได้ถูกขุดค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2441 โดยถูกค้นพบจากสถูปโบราณ เมืองปิปราห์วา สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ในสมัยพุทธกาล วันนี้ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม เลยขอชวนผู้ที่สนใจมาทำความรู้จักพระบรมสารีริกธาตุเพิ่มเติมผ่านหนังสือ พระบรมสารีริกธาตุ สำหรับหนังสือ พระบรมสารีริกธาตุ (เลขเรียกหนังสือ BQ924 บ17 2546 ) โดยกรมศิลปากร เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันธาตุ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปแบบ ลักษณะ และความเชื่อต่างๆ และได้บอกเล่าการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุไว้ดังนี้ “ขุดลึกลงไปได้พบฝาหีบทำด้วยศิลาทรายขนาดใหญ่ ภายในพบผอบหินสบู่ 2 ใบ เมื่อตรวจสอบของที่พบในผอบปรากฏว่าเป็นพระบรมธาตุ และลูกปัดทองคำ ที่ฝาผอบมีจารึกของศากยราชเป็นอักษรพราหมี แปลความออกมาได้ว่า ที่บรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของศากยราชสุกิติกับพระภาตา พร้อมทั้งพระภคินี พระโอรส และพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวายไว้” ในครั้งนั้นทางรัฐบาลอินเดียได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2441 ด้วยเห็นว่าราชอาณาจักรไทยเท่านั้นที่ยังเป็นประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง สมควรที่พระบรมสารีริกธาตุนั้นจะได้ประดิษฐานอยู่ในราชอาณาจักรไทย และในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศวรมหาวิหาร ตั้งแต่ พ.ศ.2442 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ท่านที่สนใจในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม สามารถมาค้นคว้าข้อมูล เรื่องราวต่างๆเพิ่มเติมได้ที่ ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม อาคารสำนักงานชั้น 2 ทุกวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. มาค้นคว้าเรื่องราวต่างๆไปด้วยกันนะครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [GT 5010 .จ736 2552]( 2021-11-18) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่เดือนสิบสองน้ำนองตลิ่ง วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ วันลอยกระทงนี้ ในพระราชพิธีสิบสองเดือน เขียนถึงการลอยพระประทีปในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 “การลอยประทีปในเดือน 12 ด้วยอากาศปราศจากฝน ในฤดูเดือนสิบสองเป็นเวลาที่แม่น้ำใสสะอาดและมากเต็มสองฝั่ง ในกลางเดือนนั้นพระจันทร์ก็มีแสงสว่างผ่องใส เป็นสมัยที่สมควรจะรื่นเรงในลำน้ำในเวลากลางคืน พระเจ้าแผ่นดินจึงได้เสด็จลงประพาสตามลำน้ำพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายใน เป็นประเพณีมีมาแต่กรุงสุโขทัยฝ่ายเหนือโน้นแล้ว” ”กระทงหลวง ซึ่งสำหรับลอยที่มีมาแต่เดิมนั้น คือ เรือรูปสัตว์ต่างๆ เรือศรี เรือชัย เรือโอ่ เรือคอน และมีเรือหยวกติดเทียน 2 เล่ม ธูปดอก 1 ห้าร้อย” ในหนังสือที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์นี้จะทำให้เห็นถึงบรรยากาศงานลอยพระประทีป ในสมัยนั้น การตกแต่งเรือพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทุกกรม ตลอดจนเรือสำเภาของพ่อค้าเศรษฐี ที่มาร่วมงานลอยพระประทีปที่มีการตกแต่งประดับประดาประกวดประชันกันอย่างสวยงามเต็มแม่น้ำ ในโอกาสวันลอยกระทงที่จะถึงนี้ เพื่อนๆ สามารถมาอ่านหนังสือหรือยืมพระราชพิธีสิบสองเดือนเล่มนี้กันได้ที่ห้องคลังความรู้ สุขสันต์วันลอยกระทงครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : ย่ำตรอก ซอกซอย บน ถนนข้าวสาร [DS 589.ก44 ป46 2550]( 2021-11-25) ปรารถนา รัตนะสิทธิ์หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายประเทศร่วมถึงประเทศไทย ต้องทำการปิดประเทศ ส่งผลกระทบทั้งด้านการท่องเที่ยวและการบริการต้องหยุดชะงักไป สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เคยมีนักท่องเที่ยวมากมายกลับกลายเป็นเงียบเหงาไร้ผู้คนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างรู้จักและเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศ ทำให้ถนนข้าวสารที่เงียบเหงากลับมาครึกครื้นอีกครั้ง วันนี้ห้องคลังแห่งความรู้ขอนำเสนอ หนังสือเรื่อง “ ย่ำตรอก ซอกซอยบนถนนข้าวสาร” เรื่องเล่าจากผู้เขียนที่มีความผูกพันกับถนนข้าวสาร ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนกลายเป็นหัวข้อทำสารนิพนธ์ก่อนจบ วัยทำงานก็ยังเดินวนเวียนผ่านถนนข้าวสารตลอด ทำให้เห็นถึงการเปลื่ยนแปลงของสถานที่และผู้คน เนื้อหาในหนังสือจะเล่าถึงจุดกำเนิดที่มาของถนนข้าวสารที่มีความยาวเพียงแค่ 400 เมตร แต่กลับมีเรื่องราวเรื่องเล่ามากมายผ่านรุ่นต่อรุ่น จากคลอง ที่ถูกถมกลายมาเป็นถนน ที่มาของถนนข้าวสาร ที่ในอดีตเต็มไปด้วยร้านขายข้าวสาร ร้านขายของชำและร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์และอัฐบริขารที่เป็นที่รู้จักกันทั่วในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ก่อนที่จะกลายเปลื่ยนมาเป็นเกสต์เฮ้าล์ที่แสนสงบและถูกเพิ่มเติมด้วยสถานบันเทิงในเวลาต่อมา และเป็นจุดที่ทำให้ถนนข้าวสารมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติในปัจจุบัน ซึ่งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่เราต้องการให้เห็นถึงความเปลื่ยนแปลงของถนนข้าวสารผ่านหนังสือเล่มนี้ หากท่านสนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถยืมอ่านได้ที่ห้องคลังความรู้ มิวเซียมสยาม โดยท่านติดต่อเพื่อสมัครสมาชิก หรือมาใช้บริการนั่งอ่านได้เลยครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : โยเดียกับราชวงศ์พม่าเรื่องจริงที่ไม่มีใครรู้[DS528.5 .ฮ64 2550]( 2022-01-20) มิกกี้ ฮาร์ทในสมัยอยุธยาอาณาจักรสยามมีการทำศึกสงครามกับอาณาจักรพม่าอยู่บ่อยครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเป็นระยะๆ ฝ่ายชนะกวาดต้อนเชลยที่มีกำลังและความสามารถ เข้ามายังอาณาจักรตนเองเพื่อเสริมกำลังให้แข็งแกร่งขึ้น และบุคคลสำคัญที่เป็นทั้งเชลยศึกและผู้นำในการนำทัพสู้รบกับฝ่ายพม่าคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมาเป็น วันกองทัพไทยหรือเป็นวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถี ห้องคลังความรู้ขอเสนอเรื่องราวในแง่มุมบางอย่างที่ต่างไปจากประวัติศาสตร์ไทย-พม่าฉบับอื่นโดยผู้เขียนมุ่งหาข้อมูลการบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จากหลายแหล่ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่คนสมัยก่อนทำสงครามต่อกันเพื่อเป็นการขยายอำนาจ แสดงแสนยานุภาพ ไม่ใช่บาดหมางอาฆาตเจ็บแค้นระหว่างชนชาติจนจะฆ่ากันให้ตายให้ได้ ระบอบการปกครองด้วยจักรวรรดินิยม เมื่อชนะแล้วก็จัดให้ชาตินั้นๆ ปกครองต่อกันเอง ภายใต้ พระบารมีของกษัตริย์ที่เป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นผู้ชนะก็ยกทัพกลับไป เรื่องก็จบ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันมาว่าพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ด้วยพระแสงของ้าวนั้น จากบันทึกทางประวัติศาสตร์หลายแหล่งกล่าวว่าทรงต้องกระสุนปืนจากป้อมค่ายพระนครที่ระดมยิงกันมา
-
Itemแนะนำหนังสือ : รัฐธรรมนูญ ประวัติศาสตร์ข้อความคิด อำนาจสถาปนาและการเปลี่ยนผ่าน [KPT 2070.ป66 2559]( 2021-12-09) ปิยบุตร แสงกนกกุลเวลาเราพูดถึงหนังสือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เรามักนึกถึงข้อมูลอธิบายเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ แต่หนังสือของผู้เขียนเล่มนี้ ได้โน้มนำไปถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญในประวัติศาสตร์สังคมการเมืองของมนุษย์ “ประชาชน” เป็นการสร้างมาหรือสถาปนาจากประชาชน ซึ่งผู้เขียนกล่าวอ้างถึงคำว่า “อำนาจปฐมสถาปนารัฐธรรมนูญ” คำนี้เป็นคำที่ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ คิดขึ้นมาใช้ หมายถึง อำนาจแห่งการริเริ่ม อันไร้ขอบเขตข้อจำกัดและเป็นอิสระ เพื่อใช้ก่อตั้งระบอบการเมือง-ระบบกฎหมายขึ้นในห้วงเวลาที่ปราศจากระบอบการเมือง-ระบบกฎหมาย ในห้วงเวลาที่ระบอบการเมืองหนึ่งก่อตั้งขึ้นและดำรงอยู่อย่างปกติ อำนาจปฐมสถาปนารัฐธรรมนูญจะไม่มีทางเกิดขึ้นและปรากฎกายได้ มันจะเผยโฉมออกมาให้เราเห็นก็ต่อเมื่อเกิดการทำลายระบอบการเมืองที่ดำรงอยู่ให้ดับสูญลงและก่อตั้งระบอบการเมืองใหม่ขึ้นแทนที่ ในยุคสมัยใหม่ ประชาชน คือ ผู้ทรงอำนาจปฐมสถาปนารัฐธรรมนูญ หาใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ไม่ ประชาชนจึงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจกำหนดระบอบการเมืองใหม่ขึ้นตามที่พวกเขาปรารถนา โดยแสดงออกในรูปของ “รัฐธรรมนูญ” ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าอ่านหรือยืมหนังสือเล่มนี้ได้ที่ห้องคลังความรู้ ชั้น 2 มิวเซียมสยาม อาคารสำนักงานครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : รู้เรื่อง วัด วิหาร โบสถ์ เจดีย์ พุทธสถาปัตยกรรมไทย [NA6021 ส234ร 2554]( 2021-11-04) รศ. สมคิด จิระทัศนกุลเมื่อเราพูดถึง “วัด” สิ่งที่เรานึกถึงคือการไปทำบุญ ไหว้พระ ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การได้ท่องเที่ยวชมสถาปัตยกรรมไทยที่งดงามของวัด เช่น วิหาร โบสถ์ เจดีย์ เป็นอันดับต้นๆ แต่ผู้คนมากมายก็ยังไม่ทราบถึงความหมาย ความเป็นมา รูปแบบ ของสิ่งก่อสร้างที่ได้กล่าว และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ภายในวัด ที่ผู้คนได้มองข้าม แต่สิ่งเหล่านี้ได้ล้วนมีความหมาย ที่มา เหมือนกันครับ วันนี้ห้องคลังความรู้ขอแนะนำหนังสือที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน รายวิชาพื้นฐานสถาปัตยกรรมไทย เฉพาะนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนที่เวลาต่อมาจะได้รับความสนใจจากประชาชน มหาวิทยาลัยต่างๆ จนได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่ จนถึงการพิมพ์ครั้งที่ 4 โดยเนื้อหาในหนังสือว่าด้วยเรื่องราวของ ความหมาย ที่มา และชื่อเรียก ที่เกี่ยวข้องกับ “วัด” นอกจากนั้น ยังรวมถึงพุทธสถาปัตยกรรมไทยที่ปรากฏอยู่ในวัด ซึ่งในอาณาบริเวณวัดประกอบด้วยเขตใหญ่ 3 เขต คือ 1. เขตพุทธาวาส เป็นส่วนที่สำคัญสุดของวัด ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับพระสงฆ์ ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผ่านสถาปัตยกรรม เช่น วิหาร อุโบสถ เจดีย์ เสมือนสัญลักษณ์ที่ประทับของพระพุทธเจ้า 2. เขตสังฆาวาส เป็นเขตพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับ พิธีการใดทางศาสนา ผ่านสถาปัตยกรรม เช่น กุฏิ เวจกุฎี ห้องสรงน้ำ หอไตร ฯลฯ 3. เขตธรณีสงฆ์ เป็นพื้นที่ที่เหลือจากการแบ่งเขตวัด คือ เขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาส เป็นเขตพื้นที่สำหรับเอื้อประโยชน์ใช้สอยในเชิงเขตพื้นที่สาธารณประโยชน์ โดยมีสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมอย่างเช่น เมรุ สำหรับฌาปนกิจศพ หรือโรงเรียน สำหรับเป็นที่ให้การศึกษา ฯลฯ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้จะอธิบายที่มา ความหมาย และศิลปกรรมของพุทธสถาปัตยกรรมทั้งหมดที่ได้กล่าวข้างต้น ตั้งแต่สถาปัตยกรรมในอดีตจนพัฒนาสู่สมัยใหม่ พร้อมนำเสนอด้วย ภาพถ่าย แผนผัง ลายเส้น ภาพวาดประกอบ และมีลูกศรชี้อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจพุทธสถาปัตยกรรมภายในวัดทั้งหมดได้โดยง่าย หากผู้อ่านที่สนใจหนังสือเล่มนี้ สามารถติดต่อห้องคลังความรู้ เพื่อสมัครสมาชิก และรับบริการยืมอ่านได้ที่ห้องคลังความรู้เลยครับ
-
Itemแนะนำหนังสือ : เรื่องเล่าจากข้าวของเครื่องแต่งกาย[AC159.ส15 ร82 2553]( 2023-01-29) ส.พลายน้อยใกล้ช่วงวันตรุษจีนเข้ามาแล้ว บางท่านอาจถือเคล็ดธรรมเนียมปฏิบัติใช้ข้าวของใหม่ เรามาดูกันครับว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราใช้กันอยู่นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีความเป็นมาอย่างไร เช่น หวีที่เราใช้มีธรรมเนียมความเชื่อต่างกันอย่างไร เรื่องราวต่างๆได้เขียนไว้เมื่อ 30-40 ปีมาแล้ว เรื่องลักษณะของภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักของการมีเครื่องแต่งกาย ในแต่ละยุคสมัยนั้นการแต่งกายก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของผู้คน “เรื่องเล่าจากข้าวของเครื่องแต่งกาย” เขียนโดย ส.พลายน้อย เลขเรียกหนังสือ AC159.ส15 ร82 2553 เรื่องของกางเกง หากใครเคยได้ดูหนังเรื่องโรบินฮู้ด จะเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมถึงนิยมนุ่งกางเกงที่แนบชิดติดเนื้อเป็นรูปขาแบบนั้น ในหนังสือเล่มนี้มีคำตอบ คำอธิบายถึงความนิยมการสวมกางเกง ที่มาของกางเกง ในเรื่องของกางเกงเมื่อคิดไปแล้วก็เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งที่บางถิ่นบางชาติถือเป็นเรื่องกางเกงเป็นสำคัญ อย่างชาวซิกข์นั้นมีสิ่งประจำตัวที่สำคัญอยู่ 5 อย่าง คือ ดาบ หวี ผม กางเกง กำไล ซึ่งของแต่ละอย่างนั้นล้วนมีความหมายและความสำคัญในตัวเอง เรื่องของหวี ในบรรดาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เรามักมองข้ามเป็นส่วนมากคือ “หวี” เพราะนั้นเป็นสิ่งที่เราเห็นและใช้จนเคยชิน ไม่ได้นึกว่าหวีนั้นเกิดจากอะไร การใช้หวีนั้นทำอะไรได้บ้าง แล้วคนเรานั้นเริ่มใช้หวีกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คนที่เห็นว่าเรื่องหวีนั้นไม่สำคัญก็มีอยู่ประมาณ 2 จำพวกคือ พวกที่โกนผมและพวกหัวล้าน ดังคำพังเพยที่ว่า “หัวล้านได้หวี” เมื่อเห็นหวีเป็นเรื่องสำคัญแล้วก็จะมีประเพณีที่เกี่ยวกับหวีตามมา คือชาวอินเดียบางพวกนั้นกล่าวว่าเจ้าบ่าวจะต้องทำหวีขึ้นด้วยมือของตัวเองและนำหวีที่ทำสำเร็จด้วยตัวเองนั้นไปให้เจ้าสาวในวันแต่งงาน เรื่องของร่ม ปัจจุบันนี้เรื่องของร่มเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถซื้อและหาได้ง่าย บางแห่งที่กิจการดีก็ทำร่มแจกลูกค้า ถือเป็นการโฆษณากิจการไปในตัว และผู้ที่มีความหวังเรื่องความร่มเย็นเป็นสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็จะมีการซื้อร่มถวายพระด้วยเหตุนี้ร่มจึงไม่ใช่เพียงสิ่งกันแดดกันฝนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นสิ่งเกื้อหนุนในเรื่องของบุญกุศล ในหนังสือยังมีเรื่องราวของการประดิษฐ์ร่มครั้งแรกขึ้นมา ว่ามีหน้าที่อย่างไร เกิดขึ้นเพราะเหตุใด เชื้อชาติใดเป็นผู้คิดค้น เรื่องของกระจก เมื่อกระจกเงานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่งขึ้น กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับครอบครัว กระจกนั้นจะปรากฏในงานแต่งงาน การแต่งงานจะมีการจัดหากระจกให้เจ้าสาวอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากเรื่องของ “ขุนช้างขุนแผน” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นิยมใช้โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกเงาติดอยู่ ภายหลังได้มีการเพิ่มตู้กระจกมาคือ เป็นตู้สำเร็จรูปที่นอกจากใส่เสื้อผ้าได้แล้วมีกระจกแผ่นใหญ่ติดอยู่ที่บานประตูสามารถมองเห็นได้ทั้งตัว ในระยะเวลา 50-60 ปีมานี้ใครที่แต่งงานก็จะซื้อตู้พวกนี้เป็นเครื่องเรือน ถือเป็นของเชิดหน้าชูตา